แต่ถ้าคุณเป็นโสด และคุณมีงานธรรมดา ๆ แล้วในช่วงที่มีเวลาว่าง คุณกินอาหารของคุณเอง แล้วนั่งสมาธิ และใช้ชีวิตไป แบบเรียบง่ายเท่าที่เป็นไปได้ คุณก็จะสัมผัสกับทุกสิ่ง ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ สัมผัสถึงธรรมชาติมากขึ้น
เมื่อวานฉันอยากบอกพวกคุณ ถ้าคุณมีคำถาม ที่ก่อความรำคาญ ก็ถามเลย เช่น วิพากษ์วิจารณ์ฉัน อะไรแบบนั้น ดูว่าฉันจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ฉันลืมบอกพวกคุณ เพราะฉันมีงานหลายอย่างต้องทำ พวกคุณรู้แล้วใช่ไหม? (ค่ะ อาจารย์) ฉันจะต้อง เป็นคนดูแลบ้านตัวเอง เป็นคนซักผ้าของฉันเอง ช่างแต่งหน้าของฉันเอง ช่างแต่งตัวของฉันเอง และช่างแต่งผมของฉันเอง ถึงแม้มันจะดูเหมือนว่า ไม่เป็นมืออาชีพมากนัก แต่ฉันต้องทำเอง และอยู่ในช่วงเข้าฌาน ฉันไม่ได้ย้อมผมเป็นสีบรอนด์ ไม่ได้สนใจอีกต่อไป ฉันยังดูสวยงามมั้ย? บอกหน่อย (ท่านดูสวยค่ะ อาจารย์) ใช่ ฉันเชื่อคุณ แน่นอน (มันเป็นความจริงค่ะ อาจารย์) คุณรักษาศีล 5 คุณไม่โกหก ใช่ไหม? (พวกเราไม่โกหกค่ะ) โอเค ไม่เป็นไร พวกช่างเทคนิค ทำให้ฉันดูดีเหมือนกัน หรืออาจจะพวกเขาแค่ เลือกตรงที่ฉันดูดีก็ได้ ภาพที่ฉันออกมาดูดี พวกเขาก็เลือกอันนั้น ส่วนที่เหลือ พวกเขาทิ้งไปที่ไหนไม่รู้ ไม่ได้สนใจหรอก ถ้าคนรุ่นต่อไปในอนาคต บังเอิญค้นเข้าไปดู ในที่จัดเก็บของเรา และเห็นใบหน้าของฉัน พวกเขาจะพูดว่า “โอ ทำไมแตกต่างกัน! (ไม่ค่ะ) คนนี้คือใคร? คงต้องเป็นพี่สาวของท่าน ใครจะไปสนใจ? พระเจ้า! ทั้งหมดนั้นของปลอมอยู่แล้ว ภาพลวงตาทั้งนั้น เอาล่ะ
ต้นไม้พูดได้เหมือนกัน พวกเขาพูดกับฉัน (วาว) ถ้าคุณเงียบสงบ และคุณบำเพ็ญต่อไป แล้วก็... ฉันหมายถึงยกเว้นพวกเรา พวกเราทำงานโดยไม่ได้อะไร ได้แค่อาหาร สมมุติ ถ้าพวกเขาไม่มีกรรม ที่จะแต่งงานหรือมีลูก และอื่น ๆ แค่มีงานทำเรียบง่าย พวกเขาก็สามารถเข้าสู่ภายใน ทุกเวลา การอยู่คนเดียว คุณสามารถ ควบคุมชีวิตตนเองง่ายขึ้น (ใช่ค่ะ) และคุณจะไม่ถูกรบกวน จากสิ่งใด หรือจากกรรมของอีกฝ่ายหนึ่ง หรือความเห็นของพวกเขาเอง บางครั้งความเห็นของพวกเขา ต่ำกว่าของคุณ แล้วพวกเขาก็ลากคุณ ลงไปด้วย (ค่ะ) แต่ถ้าคุณเป็นโสด และคุณมีงานธรรมดา ๆ แล้วในช่วงที่มีเวลาว่าง คุณกินอาหารของคุณเอง แล้วนั่งสมาธิ และใช้ชีวิตไป แบบเรียบง่ายเท่าที่เป็นไปได้ คุณก็จะสัมผัสกับทุกสิ่ง ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ สัมผัสถึงธรรมชาติมากขึ้น
ยกเว้นพวกเรา เพราะพวกเรางานยุ่งมาก เราต้องทำงาน (ใช่ค่ะ) เราต้องทำงาน ไม่ว่าเวลาใด วันใด แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะพาพวกคุณขึ้นไปสวรรค์ ฉันไม่ทิ้งพวกคุณไว้ข้างหลัง (ขอบคุณท่านอาจารย์) แม้ว่า ถ้าคุณ ไม่มีเวลาพอที่จะนั่งสมาธิ แต่อย่าขี้เกียจ! อย่าหาข้ออ้าง (ค่ะ) นั่นไม่ใช่ใบรับประกัน ใบรับประกัน “ไชน์” เป็นภาษาเยอรมัน (ค่ะ) ใบรับประกัน – ไม่ใช่ คุณยังจำเป็นต้องมีความจริงใจ และทำให้มากเท่าที่ทำได้ (ค่ะ อาจารย์) และเพื่อไม่เป็นภาระกับฉันด้วย เพราะฉันมีงานเยอะแยะ รู้ไหม (ค่ะอาจารย์)
วันนี้ กระรอกตัวนั้นมาอีก และกระโดดบนหลังคา ตลอดเวลา (วาว!) เพื่อให้ฉันสนใจ ฉันถามว่า “ตอนนี้มีอะไร?” เธอบอกฉันนั่น ๆ นี่ ๆ ฉันพูดว่า “เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว พระเจ้า!” เพราะว่าจากภายใน ผู้พิทักษ์บอกฉันแล้ว พวกเขาบอกว่า “อย่าพาสุนัขมาหาท่าน” ฉันคิดถึงสุนัขของฉันมาก ฉันรักพวกเขามาก ฉันครุ่นคิด ที่จะให้พวกเขามา อย่างน้อยแค่ได้เห็นสักหน่อย แต่พวกเขาย้ำบอกฉันว่า “ไม่ต้อง เพราะมันจะรบกวนสันติสุขของท่าน” แน่นอน ฉันรู้ว่าการนั่งสมาธิ สำคัญที่สุดเวลานี้ และขณะอยู่ในฌานคุณไม่ควรที่จะ เห็นใครเลยแม้แต่ญาติพี่น้อง หรือเพื่อน (ค่ะ) ฉันคิดถึงสุนัขของฉัน เพราะพวกเขาคิดถึงฉัน และนั่นคือปัญหา ถ้ามีแต่ฉันที่คิดถึงพวกเขา มันก็ง่าย (ค่ะ) เพียงแต่ว่าพวกเขารักฉัน มากกว่าที่ฉันรักพวกเขา ฉันต้องพูดความจริง พวกเขาคิดถึงฉัน มากกว่าที่ฉันคิดถึงพวกเขา เพราะฉันงานยุ่งมาก (ค่ะ) ฉันมีสิ่งที่ต้องทำ ฉันว้าวุ่นอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ว่าสุนัขที่น่าสงสาร พวกเขาไม่มีอะไรทำ (ค่ะ) ได้แต่ขลุกอยู่ในห้องทั้งวัน นอกจากตอนที่ออกไป กับพวกคนดูแล และอื่น ๆ ฉันไม่สามารถเห็นด้วยซ้ำ ว่าพวกเขาปฏิบัติต่อสุนัขอย่างไร นอกจากอ่านรายงาน ทุกสองหรือสามวัน (ค่ะ) ในตอนแรก ที่ฉันจากมา ฉันบอกว่า “รายงานทุกวัน” แต่ว่าภายหลัง เพราะมันเกือบเหมือนกิจวัตร ดังนั้น ฉันบอกว่า “รายงานทุกสอง - สามวัน นอกจากมีเรื่องฉุกเฉิน” (ค่ะ) ดังนั้น ฉันมีแต่ต้องพึ่งแบบนั้น อะไรก็ตาม ที่พวกเขาเขียนให้ฉัน ฉันไม่รู้ว่าสุนัขของฉัน อยู่ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง ใจฉันรู้สึกไม่เป็นสุข (ค่ะ อาจารย์)
เพราะว่าฉันรับพวกเขามาเลี้ยง ตอนที่พวกเขาไม่มีใคร ฉันดึงพวกเขา ออกมาจากปากฉลาม (ค่ะ) และฉันก็เป็นคนเดียวเท่านั้น ที่พวกเขารู้สึกไว้วางใจได้ เพราะว่าเมื่อก่อนนั้น ใครก็ตามที่มา พวกเขาจะเห่าใส่ ยกเว้นคนที่ อยู่รอบ ๆ ฉันและ ดูแลพวกเขาพร้อมกับฉัน คนอื่น ๆ เขาจะเห่าใส่ทุกคน เห่ามากหรือน้อย แล้วแต่ว่าแสงออร่าของคนนั้น หรือเจตนาของคนนั้น พวกเขารู้ ว่าใครดีสำหรับฉัน ใครไม่ดี ใครที่ไม่ดีสำหรับฉัน พวกเขาจะเห่าใส่ จนกระทั่งเสียงแหบเสียงแห้ง ภายหลังฉันต้อง เชิญคนนั้นออกไป หรือ... “อย่ากลับมาอีก ตอนที่สุนัขอยู่แถวนี้” ยังไงก็ตาม และเพราะว่าไม่มีใครอื่น ในโลกนี้ ที่รักฉันมากอย่างนั้น (ค่ะ อาจารย์) เช่นกัน และความรักนี้ คือสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ไม่สบายใจ เวลาที่ฉันไม่ได้ดูแลพวกเขา (ค่ะ อาจารย์) ฉันรักความรักของพวกเขา แต่พวกเขาคิดถึงฉันมาก และบางครั้งมันดึงฉัน แล้วฉันพยายามถามพวกเขา ให้พาสุนัขมาพบฉัน (ค่ะ) แต่ว่า ผู้พิทักษ์บอกฉันว่าอย่า และมันไม่ใช่ครั้งแรก ที่พวกเขาบอกฉันว่าอย่าพบพวกสุนัข ฉันได้แต่ต้องอดทน ฉันเห็นพวกเขาแล้ว สองสามครั้งในช่วงเข้าฌาน (ค่ะ อาจารย์) เพราะหลังจากที่สุนัขตัวอื่นตาย ฉันเป็นห่วงว่า พวกเขาจะทุกข์และเจ็บปวด ดังนั้น ฉันมาหาและปลอบพวกเขา คนดูแลสุนัขคนหนึ่ง ร้องไห้เหมือนกัน “โฮ โฮ เขาตายแล้ว และพูด พูด พูด...” ฉันบอกว่า “เฮ้ เฮ้ เฮ้ ฉันน่าจะร้องไห้ ไม่ใช่คุณ” แต่พวกเขารักสุนัขเหมือนกัน คนดูแลคนหนึ่ง อารมณ์อ่อนไหวมาก ชาวลาตินอเมริกัน อารมณ์อ่อนไหวมาก คนที่อ่อนไหวมาก
ครั้งแรกที่ฉันไปบรรยายที่ คอสตาริกาและเม็กซิโก ก่อนฉันจะกลับนั้น พวกเขาร้องไห้กันเหมือนกับเด็ก เหมือนเด็กน้อยไม่ได้กินนม ฉันบอกว่า “ทำไมพวกคุณ ร้องไห้กันมากมาย?” พวกเขาบางคนพูดว่า “โอ ท่านจากไป รู้สึกเหมือนว่า บางสิ่งตัดขาดไปจากผม” (โอ วาว!) ตัดเนื้อพวกเขาออก ไปจากพวกเขา พวกเขารู้สึกอย่างนั้น พระเจ้า มันรู้สึกแย่มาก และมันยากสำหรับฉัน ที่จะจากไปเวลานั้น (ค่ะ) พวกเขา เป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวมาก ๆ
ฉันรู้สึกเสียใจมากกับสุนัขของฉัน เท่านั้นแหละ (ค่ะ อาจารย์) พวกเขามีฉัน แต่ว่าตอนหลัง ๆ ไม่ค่อยได้พบฉันเลย และตอนที่พวกเขาลำบาก ฉันก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกด้วย ฉันรู้สึกต้องรับผิดชอบ ฉันรู้สึกแย่มาก หลังจากสุนัขนั้นตาย ฉันยังไม่คลายเลย (โอ อาจารย์)
และสุนัขตัวเล็กนั้นบอกฉันว่า สุนัขสีดำตัวใหญ่นั้นเหงามาก แม้ว่าเธอ มีแม่ของเธออยู่ข้าง ๆ พวกเขาแค่มีพลาสติกใส กั้นระหว่างกัน (ค่ะ) ดังนั้น ตัวแม่ก็อยู่ใกล้ ๆ แต่เธอยังรู้สึกเหงา ฉันคิดว่าเธอยึดติดฉันมาก มากกว่าสุนัขตัวอื่น ๆ เพราะเธอถือสันโดษ และเธอไม่ค่อยเข้ากันได้ดีนัก กับสุนัขตัวอื่น ๆ อาจจะเพราะเหตุนี้ และเธอรักฉันมาก จนเธอกล้าฉี่ กล้าอึ ในบ้าน ถ้าฉันไม่ฟังคำแนะนำของเธอ ดังนั้น ครั้งที่แล้ว ตอนที่เธอบอกฉันว่า มีบางคนหลงรักฉัน และฉันไม่ควรรักเขา (ค่ะ) ฉันบอกว่า “ขอบคุณ” และบอกว่า “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ใครจะมาหลงรักฉันก็ช่าง เธอจะฉี่และอึในบ้าน ด้วยเหตุแค่นั้นไม่ได้ ฉันห้าม โอเค?” เอาล่ะ ครั้งต่อไปเธอกลับมา ฉันถามว่า “คนนั้น ยังหลงรักฉันหรือเปล่า?” เธอบอกว่า “ใช่” ฉันถาม “เธอไม่ฉี่ในบ้าน ใช่ไหม” ดังนั้น เธอก็ไม่ทำอีก
เอาล่ะ เธอเป็นตัวที่กล้าหาญที่สุด เธอไม่สนใจว่า ฉันจะดุด่าเธอ หรือขู่จะไม่ไปพบเธออีก และอื่น ๆ หรือตำหนิเธอ เธอจะทำสิ่งที่เธอต้องทำ หรือเธออยากจะทำ แค่เตือนฉันเรื่องนี้เรื่องนั้น และอื่น ๆ นึกดูสิ กล้าหาญมาก เสียสละมาก (ใช่ค่ะ) แม้ว่าแค่มีคนมาหลงรักฉัน เธอก็ฉี่ในบ้าน พวกเขาพาเธอมา ตั้งไกล สุนัขก็ฉี่ระหว่างทางแล้ว ฉี่มาแล้วก่อนที่ จะกลับไปถึงบ้านพวกเขา และฉี่มาตลอดทาง ตั้งแต่บ้านของฉันแล้ว ดังนั้น เธอเก็บบางส่วนไว้ได้อย่างไร เพื่อมาฉี่ในบ้านฉัน เพื่อ “มอบ” ให้ฉันแบบนั้น? ทันทีที่เธอเข้ามา แล้วเธอก็ นั่งลงกับพื้น และก็นั่นแหละ ฉันห้ามไม่ได้ มันเร็วมาก (ค่ะ) เธอไม่ให้ฉันรู้ตัว หรืออะไรเลยด้วยซ้ำ ทันที เข้ามาประตูข้างใน และฉี่ นั่นแหละ โอ พระเจ้า! นั่นเป็นกลยุทธ์ของเธอ เธอทำอย่างนั้นเสมอ ไม่บ่อย ขอบคุณพระเจ้า แต่เมื่อไรก็ตามที่ มีเรื่องใหญ่ ๆ เธอจะทำอย่างนั้น ขณะที่ตัวอื่น ๆ ทุกตัวเลิกทำไปนานแล้ว พวกเขาไม่กล้าทำแล้ว เมื่อก่อน ตัวสุดท้าย คือตัวที่เล็กกว่า แต่เธอก็ยอมหยุด เพราะฉันดุเธออย่างมาก แต่ว่าตัวนี้ ดื้อดึงมาจนถึงบัดนี้ เธอไม่ยอมแพ้ฉัน (วาว) ฉันไม่มีโอกาสถามว่า ทำไมผู้พิทักษ์ ไม่ให้ฉันพบสุนัขของฉัน แน่นอนมันเป็นการเข้าฌาน ฉันไม่ควรพบใคร ฉันควรจดจ่อภายในเท่านั้น สิ่งอื่น ๆ ทุกอย่าง... ไม่สำคัญอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอารมณ์ของพวกเขา ความรักของพวกเขา คอยดึงฉันไว้ ในบางครั้ง (ค่ะ) เมื่อฉันมีเวลา หรือเมื่อฉันเห็นสุนัขในทีวี (ค่ะ)
พวกเขาไม่ให้ ของอร่อย ๆ ให้ฉันกิน แต่พวกเขาให้ฉันตรวจ ของอร่อย ๆ พวกนั้น พิซซ่า และสูตรอาหาร ในรายการทีวี แต่ฉันไม่มีอะไรแบบนั้น ฉันต้องดูสิ่งเหล่านี้อยู่เรื่อย ๆ ฉันหมายถึง ไม่ใช่ฉันที่คิดถึงมัน เพียงแต่มันมาให้ฉันดู และมันไม่ใช่ว่า ฉันคิดถึงสุนัข มันอยู่ที่พวกเขา ที่ยึดติดฉันมาก และพวกเขาไม่มีอะไรทำมากนัก นอกจากกินและนอน และไปเดินเล่นแล้วกลับมา (ค่ะ) โอ พวกเขา มีโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ แน่นอน แต่ฉันไม่แน่ใจว่า พวกเขาสนใจมันหรือไม่ มีตัวเดียวที่สนใจดู ไม่ว่ารายการทีวีอะไร คือเบนนี่ เขาเท่านั้น ที่นั่งดูทีวี เขานั่งดูทีวีจริง ๆ (วาว น่ามหัศจรรย์มากค่ะ) และบางครั้งเขา ไปข้างหลังทีวี ดูว่ามีใครอยู่ข้างหลัง ฉันพูดว่า “เบนนี่ เธอก็รู้มันเป็นแค่ภาพยนตร์” แต่บางครั้งเขาไปที่หลังทีวี และมองดู (น่ารักมากค่ะ) ด้านหลังทีวี แล้วเขาก็มานั่ง และดูทีวีเป็นเวลานาน เขาดูทีวีได้ตลอดเวลา สุนัขตัวอื่น ๆ เกลียดทีวี ฉันไม่รู้เพราะอะไร แต่แฮปปี้บอกฉันว่า ทีวีมีรังสีที่ไม่ดีสำหรับฉัน และสำหรับสุนัข ฉันพูดว่า “ถ้างั้น เธอไปอยู่ห้องอื่น ฉันจำเป็นต้องดู” เมื่อก่อนนานมาแล้ว ตอนที่ฉัน ไม่ได้ทำโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ฉันไม่ป่วย ฉันไม่ถูกใครดูหมิ่น ฉันไม่มีปัญหา ตอนที่ฉัน ไม่มีโทรทัศน์สุพรีมาสเตอร์ ฉันเกือบเหมือนกับล็อกดาวน์ ตัดขาดจากโลก (ค่ะ) ถึงแม้ว่า ฉันเดินอยู่ท่ามกลางมนุษย์ และบางครั้งไปชอปปิ้ง แต่ไม่มีใครรู้จักฉัน และนั่นรู้สึกผ่อนคลาย (ค่ะ อาจารย์)
ฉันอยู่อย่างคนธรรมดา มีเฉพาะคนที่รู้จักคุณเท่านั้น ที่ยึดติดคุณ และต้องการบางสิ่งจากคุณ คนข้างนอกนั้นพวกเขาไม่สนใจ (ค่ะ อาจารย์) พวกเขาแค่มาเสิร์ฟฉัน หรือขายของให้ฉัน แล้วพูดว่า “ลาก่อน” พวกเขาไม่ต้องการสิ่งอื่น ที่มีค่า มากกว่าเงิน ดังนั้น ถ้าฉัน ไม่มีโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ไม่มีผู้คนรอบข้าง แล้วชีวิตฉันก็จะดีขึ้น แม้ว่าอยู่ในถ้ำ หรือกระท่อมเล็ก ๆ หรืออะไรก็ตาม ฉันไม่เคยแคร์ เพราะมันรู้สึกดีมาก ดีมากไม่ว่าที่ไหน
ในนิวแลนด์ พวกเขามีห้องมากมาย และบ้านหลายหลัง และอื่น ๆ แต่ฉันไม่เคยรู้สึกดี (ค่ะ อาจารย์) เพราะมีผู้คน อยู่รอบข้างตลอดเวลา (ค่ะ) แม้ว่าห่างไกลนิดหน่อย แต่มีคนหลายพันคน แล้วระยะห่างนั้น มักจะสั้นลงเสมอ (ค่ะ) เพราะว่าพลังงานนั้น เป็นกลุ่มใหญ่ (ค่ะ) และมันกระจายออก พวกเขารู้ว่าฉันอยู่ที่นั่น และพวกเขามักจะดึงฉันเสมอ
ฉันต้องกลับไป ทำงานของฉันต่อแล้วตอนนี้ มีงานรออยู่มากมาย ขอบคุณที่ให้อภัยฉัน (ขอบคุณท่านที่ให้อภัยพวกเราค่ะ อาจารย์ ขอบคุณค่ะ อาจารย์) โอเค ฉันไปล่ะ พระเจ้าอวยพรคุณ (ขอบคุณท่านอาจารย์ พวกเรารักท่านค่ะ อาจารย์) รักพวกคุณเช่นกัน ขอบคุณสำหรับการอยู่ที่นี่ ในช่วงเวลานี้ที่มีปัญหายุ่งยาก กับโลกของเรา พระเจ้าอวยพรคุณ (ขอบคุณท่านที่รับพวกเราค่ะ ขอบคุณท่านอาจารย์)